“กัญชาช่วยรักษามะเร็ง”: ข่าวที่ถูกเซ็นเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ!
คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะมีแรงบันดาลใจสองอย่างครับ คือ หนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งแต่ปฏิเสธการรักษาด้วยวิธีการที่โรงพยาบาลนิยมใช้กัน เขาพยายามรักษาตนเองด้วยกัญชาแต่ก็มีปัญหาคือหากัญชา หรือตัวยาสำเร็จรูปที่มีขายในต่างประเทศไม่ได้ ซึ่งผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง และสอง ผมได้อ่านบทความของคุณหมอวิจารณ์ พานิช ที่เกี่ยวกับกัญชาถึง 3 ชิ้น คือ “วิจัยกัญชาครบวงจร” “กัญชาเป็นยา” และ “กัญชารักษามะเร็ง”
ผมขอเริ่มต้นด้วยบทความของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ก่อนนะครับ ในบทความชิ้นแรก (18 ก.ย. 52) ท่านได้ตั้งเป็นโจทย์วิจัยว่า “ประเทศไทยควรใช้กัญชาแทนยาราคาแพงอะไรบ้าง ในผู้ป่วยกลุ่มไหนบ้าง โดยต้องระมัดระวังอะไรบ้าง คิดไปคิดมาน่าจะเป็นชุดโครงการวิจัยกัญชาครบวงจร ตั้งแต่การออกกฎหมายใหม่ ให้จำหน่ายกัญชาได้อย่างมีกฎเกณฑ์ ระมัดระวังผลร้าย ไปจนถึงการคัดพันธุ์ วิธีปลูก วิธีเก็บ และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวไปจนถึงการแปรรูป ระบบ logistics และการจำหน่ายไปจนถึงการเสพอย่างปลอดภัย เวลานี้ ใน 12 รัฐของสหรัฐอเมริกา การจำหน่าย และเสพกัญชาถูกกฎหมาย และอีก 15 รัฐ กำลังพิจารณา”
ในตอนท้าย ท่านอาจารย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สังคมไทยถูกหลอกไม่ให้ผลิตสินค้าที่เราผลิตได้ดี กัญชาถูกทำให้เป็นสิ่งเลวร้าย ทั้งๆ ที่มันมีคุณค่าอย่างยิ่งถ้าเรารู้จักใช้มัน ที่จริงกัญชาน่าจะเป็นพืชผักสวนครัวของทุกบ้านโดยที่คนไทยทุกคนรู้คุณและโทษของมันและเราควรส่งออกกัญชาคุณภาพสูงให้เป็นคุณแก่โลก”
ในบทความชิ้นที่สาม (30 ม.ค. 54) ท่านได้สารภาพว่า ความรู้ของท่านได้เพิ่มขึ้นจากบทความชิ้นที่สองดังตอนหนึ่งที่ว่า “ความเข้าใจเดิมของผมผิดที่เข้าใจว่ากัญชาเพียงช่วยลดความทุกข์ทรมาน เพราะมีฤทธิ์ลดปวด และลดความวิตกกังวล ดังนั้น หากกัญชามีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ก็ยิ่งสมควรใช้กัญชาเป็นยา ทั้งยาสมุนไพร และยาแผนปัจจุบัน ประเทศไทยจะได้มีสินค้าคุณภาพสูง และราคาแพงสำหรับส่งออก เพราะภูมิอากาศของประเทศไทยเหมาะต่อการผลิตกัญชาคุณภาพสูง เราต้องช่วยกันกระตุ้นให้แก้ไขข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่ตั้งป้อมรังเกียจกัญชา มีคนบอกว่า เป็นเล่ห์ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ต้องการกีดกันคู่แข่งสินค้าของตน”
เพื่อนที่ป่วยคนนี้ของผมเป็นนักค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตชั้นยอดเลยทีเดียว ตั้งแต่เขาเริ่มป่วยเขาเคยเล่าให้ผมฟังเมื่อ 2-3 ปีมาแล้วว่า “มีเด็กชาวบราซิลคนหนึ่งเป็นเนื้องอก (หรือเป็นมะเร็งผมจำไม่ได้แน่นอน) ในสมอง การแพทย์แผนปัจจุบันหมดทางรักษา ต่อมา เด็กมีอาการปวดอย่างรุนแรงมาก พ่อแม่ทนดูไม่ได้จึงให้กินกัญชาเพื่อระงับอาการปวด กินไปกินมาปรากฏว่า เด็กคนนี้หายเป็นปกติ เนื้องอกในสมองก็หายไป”
ขอเรียนย้ำว่า ผมฟังมาอย่างนี้ ขอผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณเอาเองนะครับ แต่ที่เล่ามาก็ด้วยความหวังว่าท่านที่มีความรู้จะช่วยกันศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ “เป็นคุณต่อโลก” อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมในบางประเด็นที่ผมคาดว่าท่านผู้อ่านทั่วไปคงจะสนใจ แล้วก็นำมาเล่าต่อในที่นี้ โดยใช้คำหลักว่า “Marijuana and cancer”
พบว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริการู้ว่า “กัญชาสามารถรักษามะเร็งได้” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 แต่ก็เก็บเงียบเป็นความลับไม่ให้ประชาชนรู้เพราะมีกฎหมายว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ประชาชนเพิ่งได้รับทราบข่าวนี้ในอีก 26 ปีต่อมา เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็น “ข่าวที่ถูกเซ็นเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ”
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันเมื่อปี 2554 พบว่าร้อยละ 50 เห็นด้วยที่จะให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ในขณะที่เมื่อ 6 ปีก่อน มีผู้เห็นด้วยเพียง 36% เท่านั้น
ปัจจุบัน จำนวนรัฐที่ถือว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายได้เพิ่มขึ้นเป็น 16 รัฐ (แต่ไม่ทราบว่ามีการควบคุม หรือกติกาอย่างไร) ในปลายปีนี้ รัฐโคโลราโด จะมีการลงประชามติในเรื่องนี้
ปัจจุบัน จำนวนผู้ป่วยที่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอรักษาด้วยกัญชาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ในรัฐมิชิแกน ของสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยมาลงทะเบียนถึงกว่า 1.3 แสนคน (ประมาณ 1.3% ของประชากรทั้งหมดของรัฐ) ถ้ารวมหมดทุกรัฐก็เกือบหนึ่งล้านคน
ในด้านประสิทธิภาพของตัวยาจากกัญชา งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Harvard (Science Daily Apr. 17, 2007) จากการทดลองกับหนูที่ฉีดเซลล์มะเร็งปอดในคนเข้าไป กัญชาสามารถลดขนาดของเนื้องอกได้ 50% เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้ใช้กัญชา และสามารถลดความสามารถในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ถึง 60% ทั้งนี้ ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น
มีการคาดการณ์กันว่า รัฐโคโลราโดจะมีรายได้จากการเก็บภาษีธุรกิจยาที่ผลิตจากกัญชาปีละ 40 ล้านดอลลาร์ ขอแถมอีกนิดครับ จากเอกสารที่ผมอ่านพบว่า กัญชา 6 ต้น สามารถสกัดน้ำมันกัญชาได้ 28 กรัม (เปรียบเทียบกับยาสีฟันขนาดกลางมีน้ำหนัก 160 กรัม สามารถใช้ได้หลายเดือน) สำหรับวิธีสกัดสามารถค้นได้จาก YouTube ครับ แต่ปัญหามีอยู่ว่าจะเอาต้นกัญชามาจากไหน ในเมื่อกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายสำหรับคนบริสุทธิ์ที่ถูกจับได้ในประเทศไทย แต่สำหรับนักค้ายาเสพติดมักจะไม่ถูกจับครับ
ผมถามลูกศิษย์หลายคนที่เป็นแพทย์ว่า ทำอย่างไรให้ได้ยาที่สกัดจากกัญชา เขาตอบว่าเมืองไทยไม่มีถ้าจะซื้อมาจากต่างประเทศ “ใครถือมาก็ถูกจับ” ผมว่าวิธีการที่รัฐไทยทำอยู่นี้เป็นการฆ่าคนไทยอย่างเลือดเย็น
สุดท้าย ผมขอถามท่านผู้อ่านก็แล้วกันว่า “ครอบครัวใดไม่มีคนเป็นมะเร็งเลยยกมือขึ้น” และสุดท้าย (ที่ไม่ใช่ประเด็นใหม่) คือเท่าที่ผมค้นเจอ กัญชารักษาโรคเอดส์ได้ด้วย แค่สองโรคนี้คนไทยเป็นกันนับล้านคนครับ
โดย...ประสาท มีแต้ม
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะมีแรงบันดาลใจสองอย่างครับ คือ หนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งแต่ปฏิเสธการรักษาด้วยวิธีการที่โรงพยาบาลนิยมใช้กัน เขาพยายามรักษาตนเองด้วยกัญชาแต่ก็มีปัญหาคือหากัญชา หรือตัวยาสำเร็จรูปที่มีขายในต่างประเทศไม่ได้ ซึ่งผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง และสอง ผมได้อ่านบทความของคุณหมอวิจารณ์ พานิช ที่เกี่ยวกับกัญชาถึง 3 ชิ้น คือ “วิจัยกัญชาครบวงจร” “กัญชาเป็นยา” และ “กัญชารักษามะเร็ง”
ผมขอเริ่มต้นด้วยบทความของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ก่อนนะครับ ในบทความชิ้นแรก (18 ก.ย. 52) ท่านได้ตั้งเป็นโจทย์วิจัยว่า “ประเทศไทยควรใช้กัญชาแทนยาราคาแพงอะไรบ้าง ในผู้ป่วยกลุ่มไหนบ้าง โดยต้องระมัดระวังอะไรบ้าง คิดไปคิดมาน่าจะเป็นชุดโครงการวิจัยกัญชาครบวงจร ตั้งแต่การออกกฎหมายใหม่ ให้จำหน่ายกัญชาได้อย่างมีกฎเกณฑ์ ระมัดระวังผลร้าย ไปจนถึงการคัดพันธุ์ วิธีปลูก วิธีเก็บ และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวไปจนถึงการแปรรูป ระบบ logistics และการจำหน่ายไปจนถึงการเสพอย่างปลอดภัย เวลานี้ ใน 12 รัฐของสหรัฐอเมริกา การจำหน่าย และเสพกัญชาถูกกฎหมาย และอีก 15 รัฐ กำลังพิจารณา”
ในตอนท้าย ท่านอาจารย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สังคมไทยถูกหลอกไม่ให้ผลิตสินค้าที่เราผลิตได้ดี กัญชาถูกทำให้เป็นสิ่งเลวร้าย ทั้งๆ ที่มันมีคุณค่าอย่างยิ่งถ้าเรารู้จักใช้มัน ที่จริงกัญชาน่าจะเป็นพืชผักสวนครัวของทุกบ้านโดยที่คนไทยทุกคนรู้คุณและโทษของมันและเราควรส่งออกกัญชาคุณภาพสูงให้เป็นคุณแก่โลก”
ในบทความชิ้นที่สาม (30 ม.ค. 54) ท่านได้สารภาพว่า ความรู้ของท่านได้เพิ่มขึ้นจากบทความชิ้นที่สองดังตอนหนึ่งที่ว่า “ความเข้าใจเดิมของผมผิดที่เข้าใจว่ากัญชาเพียงช่วยลดความทุกข์ทรมาน เพราะมีฤทธิ์ลดปวด และลดความวิตกกังวล ดังนั้น หากกัญชามีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ก็ยิ่งสมควรใช้กัญชาเป็นยา ทั้งยาสมุนไพร และยาแผนปัจจุบัน ประเทศไทยจะได้มีสินค้าคุณภาพสูง และราคาแพงสำหรับส่งออก เพราะภูมิอากาศของประเทศไทยเหมาะต่อการผลิตกัญชาคุณภาพสูง เราต้องช่วยกันกระตุ้นให้แก้ไขข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่ตั้งป้อมรังเกียจกัญชา มีคนบอกว่า เป็นเล่ห์ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ต้องการกีดกันคู่แข่งสินค้าของตน”
เพื่อนที่ป่วยคนนี้ของผมเป็นนักค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตชั้นยอดเลยทีเดียว ตั้งแต่เขาเริ่มป่วยเขาเคยเล่าให้ผมฟังเมื่อ 2-3 ปีมาแล้วว่า “มีเด็กชาวบราซิลคนหนึ่งเป็นเนื้องอก (หรือเป็นมะเร็งผมจำไม่ได้แน่นอน) ในสมอง การแพทย์แผนปัจจุบันหมดทางรักษา ต่อมา เด็กมีอาการปวดอย่างรุนแรงมาก พ่อแม่ทนดูไม่ได้จึงให้กินกัญชาเพื่อระงับอาการปวด กินไปกินมาปรากฏว่า เด็กคนนี้หายเป็นปกติ เนื้องอกในสมองก็หายไป”
ขอเรียนย้ำว่า ผมฟังมาอย่างนี้ ขอผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณเอาเองนะครับ แต่ที่เล่ามาก็ด้วยความหวังว่าท่านที่มีความรู้จะช่วยกันศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ “เป็นคุณต่อโลก” อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมในบางประเด็นที่ผมคาดว่าท่านผู้อ่านทั่วไปคงจะสนใจ แล้วก็นำมาเล่าต่อในที่นี้ โดยใช้คำหลักว่า “Marijuana and cancer”
พบว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริการู้ว่า “กัญชาสามารถรักษามะเร็งได้” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 แต่ก็เก็บเงียบเป็นความลับไม่ให้ประชาชนรู้เพราะมีกฎหมายว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ประชาชนเพิ่งได้รับทราบข่าวนี้ในอีก 26 ปีต่อมา เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็น “ข่าวที่ถูกเซ็นเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ”
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันเมื่อปี 2554 พบว่าร้อยละ 50 เห็นด้วยที่จะให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ในขณะที่เมื่อ 6 ปีก่อน มีผู้เห็นด้วยเพียง 36% เท่านั้น
ปัจจุบัน จำนวนรัฐที่ถือว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายได้เพิ่มขึ้นเป็น 16 รัฐ (แต่ไม่ทราบว่ามีการควบคุม หรือกติกาอย่างไร) ในปลายปีนี้ รัฐโคโลราโด จะมีการลงประชามติในเรื่องนี้
ปัจจุบัน จำนวนผู้ป่วยที่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอรักษาด้วยกัญชาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ในรัฐมิชิแกน ของสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยมาลงทะเบียนถึงกว่า 1.3 แสนคน (ประมาณ 1.3% ของประชากรทั้งหมดของรัฐ) ถ้ารวมหมดทุกรัฐก็เกือบหนึ่งล้านคน
ในด้านประสิทธิภาพของตัวยาจากกัญชา งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Harvard (Science Daily Apr. 17, 2007) จากการทดลองกับหนูที่ฉีดเซลล์มะเร็งปอดในคนเข้าไป กัญชาสามารถลดขนาดของเนื้องอกได้ 50% เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้ใช้กัญชา และสามารถลดความสามารถในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ถึง 60% ทั้งนี้ ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น
มีการคาดการณ์กันว่า รัฐโคโลราโดจะมีรายได้จากการเก็บภาษีธุรกิจยาที่ผลิตจากกัญชาปีละ 40 ล้านดอลลาร์ ขอแถมอีกนิดครับ จากเอกสารที่ผมอ่านพบว่า กัญชา 6 ต้น สามารถสกัดน้ำมันกัญชาได้ 28 กรัม (เปรียบเทียบกับยาสีฟันขนาดกลางมีน้ำหนัก 160 กรัม สามารถใช้ได้หลายเดือน) สำหรับวิธีสกัดสามารถค้นได้จาก YouTube ครับ แต่ปัญหามีอยู่ว่าจะเอาต้นกัญชามาจากไหน ในเมื่อกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายสำหรับคนบริสุทธิ์ที่ถูกจับได้ในประเทศไทย แต่สำหรับนักค้ายาเสพติดมักจะไม่ถูกจับครับ
ผมถามลูกศิษย์หลายคนที่เป็นแพทย์ว่า ทำอย่างไรให้ได้ยาที่สกัดจากกัญชา เขาตอบว่าเมืองไทยไม่มีถ้าจะซื้อมาจากต่างประเทศ “ใครถือมาก็ถูกจับ” ผมว่าวิธีการที่รัฐไทยทำอยู่นี้เป็นการฆ่าคนไทยอย่างเลือดเย็น
สุดท้าย ผมขอถามท่านผู้อ่านก็แล้วกันว่า “ครอบครัวใดไม่มีคนเป็นมะเร็งเลยยกมือขึ้น” และสุดท้าย (ที่ไม่ใช่ประเด็นใหม่) คือเท่าที่ผมค้นเจอ กัญชารักษาโรคเอดส์ได้ด้วย แค่สองโรคนี้คนไทยเป็นกันนับล้านคนครับ